พฤติกรรมสุขภาพเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสหรือแนวโน้มของการเกิดความเจ็บป่วยหรือการเกิดโรคของบุคคล เพราะการมีสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติทางสุขภาพของตนเอง เช่น คนที่ออกกำลังกายเสมอมักมีสุขภาพแข็งแรง คนที่หลีกเลียงพฤติกรรมทางสุขภาพชีวิตก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เพื่อการมีสุขภาพที่ดี นักเรียนควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคและการเจ็บป่วยที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ และมีความตระหนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพที่เหมาะสม
หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา ซึ่งจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม คันคอ เป็นอาการเด่น ไม่ค่อยมีไข้ และไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ไข้หวัดธรรมดา เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยเชื้อแต่ละชนิดจะทำให้เกิดอาการของโรคแตกต่างกันไป วิธีป้องกันคือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีคุณค่า ไม่เข้าใกล้ หรือคลุกคลีกับคนที่เป็นหวัด
เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง และพบแพร่ระบาดอยู่บ่อยๆ 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการ ไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก อาจมีคลื่นไส้อาเจียน พบระบาดมากในฤดูฝนและฤดูหนาว มักจะเป็นในกลุ่มวัยทำงานและเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 5 ปี ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน และเป็นวัคซีนที่ต้องฉีดทุกปี เนื่องจากเชื้อไวรัส จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธ์ใหม่ทุกปี และภูมิคุ้มกันจากวัคซีนเดิมก็จะลดลงจนไม่สามารถป้องกันโรคได้
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการอักเสบ จนมีหนองและสารน้ำในถุงลม ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับออกซิเจนได้ อาการ ไข้ ไอ เสมหะมาก แน่นหน้าอกเหมือนหายใจไม่ออก หอบ หายใจเร็ว ส่วนใหญ่มักจะเป็นหลังจากที่เป็นไข้หวัดเรื้อรัง หวัดแบบรุนแรง หลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นหอบหืด พบโรคนี้มากในฤดูฝน และพบได้บ่อยในฤดูหนาว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส รูบีโอราไวรัส (rubeola virus) ติดต่อได้ทางลมหายใจ ไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาละอองเสมหะที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป อาการเริ่มแรกจะคล้ายกับหวัดธรรมดา ซึ่งเราอาจจะไม่ทราบว่าเด็กป่วยเป็นโรคหัดจนเมื่อมีอาการมากขึ้น มีไข้สูง ตาแดงแฉะ เวลาถูกแสงจะแสบตา ระคายเคืองตา ไอและมีน้ำมูกมาก ในเด็กจะมีไข้สูง ประมาณ 3-4 วัน จากนั้นจะเริ่มมีผื่นที่หลังหูแล้วลามไปหน้า และร่างกาย ผื่นจะมีขนาดโตและสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม ฉีด 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 6 ขวบ หรือ อยู่ชั้นประถม 1
เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ รูเบลลา (Rubella) มีอยู่ในน้ำมูก และน้ำลายของคนที่เป็นโรคนี้ เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการ จะมีไข้ต่ำๆ ร่วมกับผื่นเล็กๆ สีอ่อนๆ กระจายไปทั่ว เริ่มจากที่หน้าผาก ชายผม รอบปาก แล้วค่อยลามมาที่ลำคอ ลำตัว แขนขา มักจะหายได้เองภายใน 3-6 วัน บางรายอาจมีผื่นแต่ไม่มีไข้ก็ได้ บางรายอาจมีการติดเชื้อแต่ไม่มีอาการใดๆ เลยก็ได้ แต่อาการที่สำคัญของโรคนี้ คือ มีต่อมน้ำเหลืองโต บริเวณหลังหู ท้ายทอย และข้างคอ 2 ข้าง อันตรายของโรคนี้คือ หากผู้หญิงเป็นตอนที่ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ เมื่อคลอดออกมาอาจมีภาวะต้อกระจก ต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการ สมองอักเสบ ปัญญาอ่อน อาการเหล่านี้อาจเกิดร่วมกัน หรือเป็นเพียงอย่างเดียวก็ได้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการตรวจสุขภาพ ก่อนสมรส หรือก่อนตั้งครรภ์
ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella หรือ Human herpesvirus type 3 ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือถูกของใช้ของผู้ป่วยที่เปื้อนสารคัดหลั่งจากตุ่มน้ำของผู้ป่วย หรือหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำเข้าไป อาการ ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ในผู้ใหญ่จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ผื่นจะเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับวันที่มีไข้ เริ่มแรกจะมีผื่นแดงราบ ต่อมาตุ่มจะนูน มีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน มีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง ผื่น และตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆ ทะยอยขึ้น ไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วตัว ปัจจุบันโรคนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ซึ่งจะฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ในช่วงอายุประมาณ 1 ปี แต่สำหรับคนที่เคยป่วยเป็นโรคนี้แล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ได้ตลอดชีวิต
ที่มา : www.synphet.co.th